ข้อที่ 1 เหตุใดระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Dss) จึงมีความสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (EIS)
ตอบ เพราะว่าระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Dss) เป็นระบบข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาสำหรับ
ปัญหาแบบกิ่งโครงสร้างลักษณะพิเศษของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ(Dss) คือสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงได้ โดยเริ่มแรกจะกำหนดข้อจำกัดและลักษณะของสถานการณ์นั้น ๆ จากนั้นก็จะใช้ประสบการณ์และความรู้สึกเข้ามาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบในการปรับปรุงแก้ไขระบบ ซึ่งระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Dss) สามารถตอบการปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีความยืดหยุ่นเพียงที่จะนำเอาความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาร่วมพิจารณากับโปรแกรมทางคณิตศาสตร์ได้ และมีความสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารเป็นอย่างมาก
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS) เป็นระบบสารสนเทศที่นำข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการตัดสินใจ และจะช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาและตัดสินใจเฉพาะกรณีตามที่ผู้บริหารต้องการ เป็นการเน้นการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะสำคัญของ DSS คือ จะต้องเป็นระบบที่ให้สารสนเทศอย่างรวดเร็วต่อการตัดสินใจ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและกำหนดกลยุทธ์ ดังนั้น DSS จึงควรออกแบบในลักษณะที่โต้ตอบกับผู้ใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล ซึ่งผู้บริหารมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการกำหนดรูปแบบการพัฒนา DSS
ข้อที่ 2 การกำหนดเป้าหมายหรือกลยุทธ์ต่าง ๆ ขององค์กรส่วนใหญ่ใช้ระบบสารสนเทศประเภทใดบ้าง
ใช้เหตุผลประกอบ
ตอบ 1. ระบบสารสนเทศจำแนกตามประเภทของธุรกิจ : โดยจะต้องออกแบบให้สอดคล้องและเหมาะสมกับลักษณะงานขององค์การเหล่านั้น ระบบสารสนเทศที่จำแนกตามประเภทของธุรกิจ โดยทั่วไปจะเป็นระบบสารสนเทศขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยระบบสารสนเทศที่จำแนกตามหน้าที่ย่อยๆ หลายระบบ
2. ระบบสารสนเทศจำแนกตามหน้าที่ของงาน : จะเป็นระบบที่จำแนกตามลักษณะหรือหน้าที่ของงานหลัก ซึ่งแต่ละระบบสามารถประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อยๆ ที่เป็นกิจกรรมของงานหลัก
3. ระบบสารสนเทศจำแนกตามลักษณะการดำเนินงาน : จะถูกออกแบบให้มีความสอดคล้องกับลักษณะงานและระดับของผู้ใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับการนำสารสนเทศไปใช้ประกอบการบริหารและตัดสินใจ
เหตุผลประกอบ
เหตุนี้เป้าหมายการเชื่อมโยง BSC กับกลยุทธ์องค์กร คือ การมุ่งสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศโดยสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าด้วยการประเมินความแตกต่างระหว่างเป้าหมายกับผลลัพธ์ (Performance Gap) และจำแนกสาเหตุหลักของปัญหาเพื่อดำเนินการแก้ปัญหา ส่วนองค์ประกอบหลักที่สนับสนุนสู่ความเป็นเลิศ ประกอบด้วย
1)เสี่ยงจากลูกค้า (Voice of the Customer) โดยศึกษาความต้องการของคู่ค้าประกอบด้วย พนักงาน ลูกค้า ผู้ส่งมอบ และการติดตามข้อมูลจากคู่แข่งขัน เพื่อระบุปัจจัยที่สามารถตอบสนองให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดและลำดับความสำคัญตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ยังใช้ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์สำหรับจำแนกส่วนของลูกค้า (Customer Segments) เพื่อกำหนดปัจจัยทางคุณภาพที่สามารถตอบสนองให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มเกิดความพึงพอใจตามลำดับความสำคัญ (Segment's Priorities) ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น การกระจายหน้าที่ทางคุณภาพ (Quality Function Deployment) หรือ QFD การเทียบเคียง (Benchmarking) การสำรวจ การสัมภาษณ์ และข้อมูลประวัติที่จัดเก็บ (Historical Data)
2)ความเป็นเลิศทางกระบวนการ (Process Excellence) โดยมุ่งประเมินความสามารถกระบวนการ (Process capability) และความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นสารสนเทศสำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการ
3)การบริหารสมรรถนะ (Performance Management) โดยติดตามข้อมูลผลลัพธ์เทียบกับระดับเป้าหมาย เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงกระบวนการ หรือ “Know What You Aim To Achieve” ประกอบด้วยข้อมูลหลัก เช่น วัตถุประสงค์กลยุทธ์ (Strategic Objective), แผนที่กลยุทธ์ (Strategy Map), ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicator)
สำหรับกระบวนการเชื่อมโยง BSC กับแผนปฏิบัติการประกอบด้วย
· การแจงประเด็นทางกลยุทธ์(Strategic themes) สู่วัตถุประสงค์หลัก(BSC)
· กำหนดมาตรวัด/เป้าหมาย(Metrics/Targets)
· การประเมินวัดผลเทียบเคียงกับเป้าหมาย
·ระบุผลต่างทางสมรรถนะ(Performance gap) เพื่อดำเนินโครงการปรับปรุง
4)การคัดเลือกโครงการ (Project/Initiative Selection) โดยใช้ข้อมูลจากช่วงวิเคราะห์ผลต่างสมรรถนะเพื่อกำหนดรายละเอียดโครงการปรับปรุงและลำดับความสำคัญแต่ละโครงการ (Prioritizes Project) เทียบกับวัตถุประสงค์หลักทางกลยุทธ์
5)การดำเนินโครงการปรับปรุง (Project and Initiative Execution) เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวสินค้าหรือกระบวนการธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กรที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้วยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์หาสาเหตุหลัก (Root Causes) เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิผล
ข้อที่ 3 ดัชนีชี้วัดผลประกอบการ Key Perfirmance Indicator:KPI) คืออะไรและเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงอย่างไร
ตอบ โดยทั่วไปการพัฒนาดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicator) หรือ KPI มักใช้รายงานข้อมูลที่จัดเก็บในระบบสารสนเทศเพื่อกำหนดมาตรวัดความสำเร็จ ดังนั้นการจัดทำ KPI นอกจากถูกใช้เป็นเครื่องมือบริหารทรัพยากรที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจแล้วยังถูกใช้สื่อสารกลยุทธ์ระดับองค์กรเพื่อให้ทุกคนได้รับทราบถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ (Corporate Goals and Objectives) ดังนั้นก่อนเริ่มจัดทำ KPI จึงต้องศึกษาความสำคัญของตัวชี้วัด โดยเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กรต้องเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ที่สนับสนุนให้องค์กรเกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน(Competitive Advantage) ซึ่งปัจจัยความได้เปรียบในการแข่งขันได้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น การเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาทักษะแรงงาน การลดปัจจัยความเสี่ยง การให้บริการและความสามารถหลักขององค์กร (Core Competencies) ที่ยากต่อการลอกเลียนแบบ (Hard-to-Duplicate) สำหรับการกำหนดมาตรวัดเพื่อรายงานผลสามารถจำแนกได้เป็น
1.ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicator) เป็นมาตรวัดสำหรับติดตามจำแนกขอบเขตปัญหาและระดับความสำเร็จหรือประสิทธิผลจากการดำเนินงาน
2.รายงานตามสายงาน (Functional Report) เป็นรายงานผลการปฏิบัติงานตามสายงานประจำวันเพื่อใช้ติดตามความสำเร็จที่ดำเนินในแต่ละฝ่ายงานที่รับผิดชอบ
3.รายงานพิเศษ (Exception Report) เป็นรายงานติดตามผลการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎทางธุรกิจ (Business Rule)
ส่วนระบบรายงานผลประจำวัน (Routine Reporting) ได้แสดงดัชนีชี้วัดสำคัญและข้อมูลแสดงแนวโน้มการปฏิบัติงานด้วยกราฟ เรียกว่า Visual Presentation เพื่อใช้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเป้าหมายกับผลลัพธ์ ทำให้วิศวกร หัวหน้าสายงานผลิต และผู้จัดการฝ่ายบำรุงรักษา ประหยัดเวลาสำหรับการวิเคราะห์และสามารถใช้สารสนเทศรับแผนงานได้อย่างรวดเร็ว
สรุป
ปัจจุบันมาตรวัดผลการดำเนินงานได้มีบทบาทสนับสนุนกลยุทธ์องค์กร โดยเฉพาะการติดตามประสิทธิผลและวิเคราะห์แนวโน้มเพื่อสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการ โดยมาตรวัดที่มีประสิทธิผลจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายระดับองค์กรซึ่งมีการเชื่อมโยงทุกระดับตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับกลยุทธ์องค์กร นอกจากนี้ยังต้องดำเนินการจัดเก็บข้อมูลที่มีความแม่นยำและสร้างระบบสารสนเทศสนับสนุนการรายงานผลเพื่อใช้ปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพการดำเนินงาน
อ้างอิง
1.http://www.zigmagirl.exteen.com
2.http://www.kmitnbxmies.com
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
บทความที่หนึ่ง แนะนำตัวเอง
ชื่อ นางอรัญ สุขศรี รหัสประตัวนักศึกษา 5122702136
เกิดวันที่ 12 ตุลาคม 2512 อายุ 40 ปี
ที่อยู่ 66 หม่ที่ 8 ตำบลโพนยาง อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ 33270
ประวัติการศึกษา
จบระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านโพนยาง อำเภอวังหิน
เกิดวันที่ 12 ตุลาคม 2512 อายุ 40 ปี
ที่อยู่ 66 หม่ที่ 8 ตำบลโพนยาง อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ 33270
ประวัติการศึกษา
จบระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านโพนยาง อำเภอวังหิน
จังหวัดศรีสะเกษ
จบระดับมัธยมศึกษา ม.3 จากโรงเรียนนครศรีลำดวนวิทยา
จบระดับมัธยมศึกษา ม.3 จากโรงเรียนนครศรีลำดวนวิทยา
ตำบลวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ
จบมัธยมศึกษาตอนปลายจาก โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
จบมัธยมศึกษาตอนปลายจาก โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
จังหวัดศรีสะเกษ
จบระดับ ปวช.จากโรงเรียนโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จบระดับ ปวช.จากโรงเรียนโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัดอุบลราชธานี
ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ
ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)